เพิ่มเติมความรู้ คำอุทาน ในภาษาจีน สิ่งที่พึงสังเกตคือ คำอุทานคำเดียวกัน หากออกเสียงตามวรรณยุกต์ที่แตกต่างกัน ความหมายทางอารมณ์ก็จะต่างกันไปด้วย Share This Story, Choose Your Platform! Page load link
ชนิดของคำมีกี่ชนิด? ก. 5ชนิด ข. 6ชนิด ค. 7ชนิด ง. 8ชนิด 2. จงบอกว่าคำสรรพนามมีกี่ชนิดและมีอะไรบ้าง? ……………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………... เฉลยแบบทดสอบ.. 1. ตอบ ค. 7ชนิด 2. ตอบ มีคำสรรพนาม7ชนิด ได้แก่ 7. สรรพนามใช้เน้นนามตามความรู้สึกของผู้พูด ********************************************************************* **แหล่งอ้างอิง**
2 คำอุทานเสริมบทที่ใช้เป็นคำแทรกระหว่างคำหรือข้อความ ได้แก่ คำว่า นา เอย เอ่ย เอ๋ย โวย ฯลฯ ดังตัวอย่าง - เด็กเอ๋ยเด็กน้อย - สัตว์อะไรเอ่ยไม่มีหัว - กบเอยทำไมจึงร้อง 2. 3 คำอุทานเสริมบทที่ใช้เป็นคำเสริม เพื่อต่อถ้อยคำข้างหน้าให้ยาวออกไป แต่ไม่ต้องการความหมายที่เสริมนั้น ดังตัวอย่าง - วัดวาอาราม - รถรา - หนังสือหนังหา - ผ้าผ่อนท่อนสไบ คำอุทานเสริมบท เป็นคำอุทานที่ใช้เป็นคำสร้อยหรือคำเสริมบทต่างๆ คำอุทานประเภทนี้บางคำเสริมคำที่ไม่มีความหมาย เพื่อยืดเสียงให้ยาวออกไป บางคำก็เพื่อเน้นคำให้กระชับหนักแน่น เช่น - เดี๋ยวนี้มือไม้ฉันมันสั่นไปหมด - หนังสือหนังหาเดี๋ยวนี้ราคาแพงมาก - พ่อแม่ไม่ใช่หัวหลักหัวตอนะ หน้าที่ของคำอุทาน มีดังนี้คือ 1. ทำหน้าที่แสดงความรู้สึกของผู้พูด เช่น - ตายจริง! ฉันลืมเอากระเป๋าสตางค์มา - โธ่! เธอคงจะหนาวมากละซิ - เอ๊ะ! ใครกันที่นำดอกไม้มาวางไว้ที่โต๊ะของฉัน 2. ทำหน้าที่เพิ่มน้ำหนักของคำ ซึ่งได้แก่คำอุทานเสริมบท เช่น - ทำเสร็จเสียทีจะได้หมดเรื่องหมดราวกันไป - เมื่อไรเธอจะหางงหางานทำเสียที - เธอเห็นฉันเป็นหัวหลักหัวตอหรืออย่างไร 3. ทำหน้าที่ประกอบข้อความในคำประพันธ์ เช่น - แมวเอ๋ยแมวเหมียว - มดเอ๋ยมดแดง - กอ เอ๋ย กอไก่
Interjection (อินเทอร์เจคชั่น) แปลว่า "คำอุทาน" คือคำที่แสดงออกซึ่งความตกใจ, ดีใจ, เสียใจ, ตื่นเต้น มีที่ใช้กันน้อยใน ภาษาราชการหรือบทเรียนแต่ใช้กันบ่อยในภาษาพูดและหนังสือประเภทนวนิยายต่างๆ คำอุทานมักใช้วางไว้หน้าประโยคและ คำที่อยู่หลังคำอุทานตัวแรกจะต้องเขียนเป็นตัวอักษรใหญ่เสมอ เช่น:- -Oh! I am very glad to see you. = โอ! ฉันดีใจมากที่ได้พบคุณ. -Ah! How should I know? =อา! แล้วฉันจะรู้ได้อย่างไง? -Huh! Shut your mouth now? =เฮอะ! หยุดพูดเดี๋ยวนี้นะ? -Hello! Come here please. =สวัสดี! เชิญมาทางนี้เถอะครับ. (ถ้าผู้หญิงพูดใช้ให้เปลี่ยนครับเป็นค่ะ) -Alas! He was dead, hung himself. Shicide. =อนิจจา! เขาตายเสียแล้ว. แขวนคอตัวเอง, ฆ่าตัวตาย. จากตัวอย่างดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าคำอุทานนั้นไม่มีหน้าเกี่ยวกับคำใดๆในประโยคเป็นคำอิสระที่ผู้กล่าวพูดออกมาเพื่อแสดง ความตื่นเต้น, ความตกใจ, ดีใจ, เสียใจ, พอใจ, ไม่พอใจ และบางครั้งก็เป็นการเตือนผู้ที่เราพูดด้วยรู้ตัวเท่านั้น และถ้าเรา จะตัดคำอุทานออกไปเสียแล้ว ประโยคนั้นก็จะสมบูรณ์เหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด รูปแบบของคำอุทานแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ:- 1.
2 คำอุทานเสริมบทที่ใช้เป็นคำแทรกระหว่างคำหรือข้อความ ได้แก่คำว่า นา เอย เอ่ย เอ๋ย โวย ฯลฯ ดังตัวอย่าง - เด็ก เอ๋ย เด็กน้อย - สัตว์อะไร เอ่ย ไม่มีหัว - กบ เอย ทำไมจึงร้อง 2. 3 คำอุทานเสริมบทที่ใช้เป็นคำเสริม เพื่อต่อถ้อยคำข้างหน้าให้ยาวออกไป แต่ไม่ต้องการความหมายที่เสริมนั้น ดังตัวอย่าง - วัด วา อาราม - รถ รา - หนังสือ หนังหา - ผ้า ผ่อน ท่อนสไบ คำอุทานเสริมบท เป็นคำอุทานที่ใช้เป็นคำสร้อยหรือคำเสริมบทต่างๆ คำอุทานประเภทนี้บางคำเสริมคำที่ไม่มีความหมายเพื่อยืดเสียงให้ยาวออกไป บางคำก็เพื่อเน้นคำให้กระชับหนักแน่น เช่น - เดี๋ยวนี้มือ ไม้ ฉันมันสั่นไปหมด - หนังสือ หนังหา เดี๋ยวนี้ราคาแพงมาก - พ่อแม่ไม่ใช่หัวหลัก หัวตอ นะ หน้าที่ของคำอุทาน มีดังนี้คือ 1. ทำหน้าที่แสดงความรู้สึกของผู้พูด เช่น - ตายจริง! ฉันลืมเอากระเป๋าสตางค์มา - โธ่! เธอคงจะหนาวมากละซิ - เอ๊ะ! ใครกันที่นำดอกไม้มาวางไว้ที่โต๊ะของฉัน 2. ทำหน้าที่เพิ่มน้ำหนักของคำ ซึ่งได้แก่คำอุทานเสริมบท เช่น - ทำเสร็จเสียทีจะได้หมดเรื่อง หมดราว กันไป - เมื่อไรเธอจะ หางง หางานทำเสียที - เธอเห็นฉันเป็นหัวหลัก หัวตอ หรืออย่างไร 3. ทำหน้าที่ประกอบข้อความในคำประพันธ์ เช่น - แมว เอ๋ย แมวเหมียว - มด เอ๋ย มดแดง - กอ เอ๋ย กอไก่