อันนี้ได้เลยจ้า ถ้าเบี้ยประกันชีวิตเท่ากัน เราจะได้รับความคุ้มครองจากประกันชีวิตแต่ละแบบแตกต่างกันเท่าไหร่ (ความคุ้มครองตามศัพท์ทางการในกรมธรรม์จะใช้คำว่า "ทุนประกันชีวิต") เพื่อจะได้เข้าใจมากขึ้นและเลือกแบบประกันที่เหมาะสมกับตัวเองได้ บทความนี้จะอธิบายประกันชีวิตที่หลายคนคุ้นเคย 5 แบบ เบี้ยประกันจะแตกต่างกันระหว่างเพศหญิงและชาย สิ่งสำคัญ คือ ยิ่งอายุมากขึ้นก็ต้องจ่ายเบี้ยประกันสูงขึ้น แปลว่ายิ่งทำเร็ว ยิ่งดีนะจ๊ะ ประกันทั้ง 5 แบบที่ยกตัวอย่างนี้เป็นของเพศหญิง อายุ 30 เตรียมเงินไว้ทำประกันชีวิตปีละ 60, 000 บาท หรือเดือนละ 5, 000 บาท (ตัวอย่างความคุ้มครองเป็นการคำนวณของบริษัทประกันแห่งหนึ่ง) 1. แบบชั่วระยะเวลา เหมาะกับ: คนที่ต้องการความคุ้มครองสูง จ่ายเบี้ยประกันถูก ไม่มีมูลค่าเงินสด ได้รับเงิน: เฉพาะกรณีเสียชีวิตเท่านั้น ถ้าซื้อความคุ้มครองเกิน 10 ปี นำเบี้ยประกันมาลดหย่อนภาษีได้ ตัวอย่าง: เราซื้อความคุ้มครองระยะเวลา 10 ปี จ่ายเบี้ยประกัน 10 ปีรวม 600, 000 บาท ซื้อทุนประกันชีวิตได้ประมาณ 28 ล้านบาท หากอายุสั้นเสียชีวิตภายใน 10 ปี ครอบครัวได้รับเงินประมาณ 28 ล้านบาท หลังจาก 10 ปีไปแล้วความคุ้มครองหมดลง เงินที่จ่ายไปจะกลายเป็นศูนย์ นี่เองที่เรียกว่าไม่มีมูลค่าเงินสด 2.
ประกันบำนาญ การันตีรายได้หลังเกษียณ ประกันบำนาญ จะทำการจ่ายเงินผลประโยชน์ให้กับผู้เอาประกันตั้งแต่ อายุ 55 – 65 ปี (เป็นไปตามเงื่อนไขที่ระบุในกรมธรรม์) ซึ่งผู้เอาประกันสามารถเลือกได้เองว่า จะรับเงินผลประโยชน์นี้เป็นรายเดือน หรือ รายปี และนี่ถือเป็นจุดเด่นของประกันบำนาญเลยก็ว่าได้ เพราะหากคุณชำระค่าเบี้ยประกันภัยตรงตามกำหนดตามสัญญาที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ ก็มั่นใจได้เลยว่า คุณจะยังมีรายได้อย่างต่อเนื่องแม้จะผ่านวัยทำงานไปแล้วก็ตาม 2. ประกันบำนาญ กระจายความเสี่ยงความคุ้มครองชีวิต จริงอยู่ที่หลายคนอาจจะตัดสินใจทำประกันบำนาญเพราะต้องการวางแผนการเงินไว้สำหรับอนาคต หรือ มองผลประโยชน์ที่จะได้รับหลังเกษียณเป็นหลัก แต่คุณอาจจะลืมไปว่า ความคุ้มครองด้านชีวิตก็เป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญไม่แพ้กัน เพราะหากคุณตัดสินใจทำประกันบำนาญ นอกจากเงินบำนาญที่จะได้รับแล้ว คุณยังจะได้ความคุ้มครองด้านชีวิตทั้งก่อนและหลังรับเงินบำนาญตลอดอายุสัญญาด้วย 3.
พี่ทุยมีวิธีมานำเสนอวิธีการเลือกประกันชีวิตให้คุ้มค่ากับเงินที่เสียไป แบบไหนเหมาะกับวัยเราที่สุด? เลือกประเภทให้เหมาะกับความต้องการ พี่ทุยว่าการเลือกประกันชีวิตก็คล้ายกับการเลือกเสื้อผ้านะ เราต้องเลือกความต้องการและเหมาะสมกับเราที่สุด ใส่แล้วสบายตัวไม่รู้สึกลำบากกระเป๋าเงินและสมวัย พี่ทุยแนะนำว่าให้ลองคิดก่อนว่าเหมาะสมกับการทำประกันชีวิตแบบไหน เพราะประกันชีวิตที่เรานั้นเห็น ๆ กันอยู่ว่ามีให้เลือกค่อนข้างมาก หลากหลายแบบ แต่รูปแบบของประกันชีวิตโดยพื้นฐานมีอยู่ 4 แบบด้วยกันนะ ซึ่งแต่ละแบบจะมีลักษณะความคุ้มครอง ผลประโยชน์แตกต่างกันไป 1. แบบตลอดชีพ เหมาะสำหรับคนที่ต้องการการคุ้มครองตลอดชีวิต เหมาะสำหรับคนที่มีภาระค่อนข้างมาก หรืออยากวางแผนมรดกหรือเพื่อจัดหาเงินทุนให้ลูกหลาน 2. แบบชั่วระยะเวลา เหมาะสำหรับคนที่ต้องการคุ้มครองชีวิตระยะหนึ่ง แต่ไม่ได้ต้องการในเรื่องของการออม เพราะไม่มีเงินคืนถ้าอยู่จนครบกำหนดสัญญา โดยทั้งแบบตลอดชีพและชั่วระยะเวลาเน้นเรื่องความคุ้มครองและป้องกันความเสี่ยงให้กับลูกหลานมากกว่าการออม 3. แบบสะสมทรัพย์ เป็นการประกันชีวิตที่เป็นส่วนผสมของการคุ้มครองชีวิตและการออม เป็นตัวช่วยในการวางแผนการออมเงินได้ในระยะสั้นและยาวแถมเป็นความคุ้มครอง 4.
ออมเงินได้ เพื่อเพิ่มความคุ้มค่าให้กับผู้ทำประกัน จึงเกิดเป็นรูปแบบของประกันสุขภาพที่สามารถออมเงินได้ในตัว เมื่อครบตามสัญญาแล้วคุณไม่ได้เป็นโรคร้ายใดๆ หรือไม่ได้เข้ารักษาบ่อยครั้ง คุณก็สามารถรับเงินคืนเมื่อครบสัญญาได้ทันที ซึ่งเงินตัวนี้คุณสามารถนำมาเก็บไว้เพื่อเป็นเงินในยามเกษียณหรือจะยกให้เป็นมรดกแก่ลูกหลานต่อไปได้เช่นกัน 5.
ประกันสุขภาพสำหรับผู้หญิงโดยเฉพาะ ประกันสุขภาพเพื่อผู้หญิงจะเน้นเรื่องโรคของผู้หญิงโดยเฉพาะและโรคที่เกิดบ่อยครั้ง เช่น โรคเนื้องอกในมดลูก, โรคกระเพาะอาหาร, โรคช่องคลอดอักเสบ, โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ และโรคช็อกโกแลตซีสต์ในช่องท้อง เป็นต้น โรคเหล่านี้ถือว่าผู้หญิงจะเป็นกันจำนวนมากและเป็นบ่อยครั้งที่สุด โดยจะให้ความคุ้มครองจากแผนประกันสุขภาพของผู้หญิงโดยเฉพาะ จึงจะเน้นรักษาและคุ้มครองแบบตรงโรคที่สุด เมื่อต้องเข้าทำการรักษาและถ้าต้องมีการผ่าตัดก็จะจ่ายตามจริง คุณจึงสามารถรักษาเฉพาะโรคของผู้หญิงได้อย่างไม่ต้องกังวลค่าใช้จ่ายมากจนเกินไป 4.
ประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลา: เน้นการคุ้มครองชีวิตระยะสั้น สามารถเลือกได้ว่าจะจ่ายเบี้ยประกันเพื่อรับความคุ้มครองกี่ปี เช่น 5 ปี 10 ปี 15 ปี เมื่อจ่ายเบี้ยประกันไปแล้วเราจะได้รับความคุ้มครองตามจำนวนปีที่เลือกไว้ และเมื่อกรมธรรม์ครบกำหนดสัญญาแล้วแต่เจ้าของกรมธรรม์ยังมีชีวิตอยู่ก็จะไม่ได้รับผลตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น แต่ถ้าเจ้าของกรมธรรม์เสียชีวิตในช่วงระยะเวลาการคุ้มครองตามสัญญา ผลตอบแทนก็จะไปตกอยู่กับผู้รับผลประโยชน์แทน 2. ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ: เน้นการคุ้มครองชีวิตระยะยาว โดยจ่ายเบี้ยประกันแค่ช่วงระยะเวลาใดเวลาหนึ่งตามที่เราเลือก เช่น จ่ายเบี้ยประกันชีวิต 10 ปี แต่คุ้มครองจนถึงอายุ 90 ปี เมื่อผู้ถือกรมธรรม์มีอายุครบ 90 ปีก็จะได้รับทุนประกันคืน cแต่ถ้าเสียชีวิตระหว่างนี้ทุนประกันคืนจะเป็นของผู้รับผลประโยชน์แทน 3. ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์: เน้นการออมทรัพย์และได้รับความคุ้มครองชีวิตด้วย โดยผู้ถือกรมธรรม์จะได้รับผลตอบแทนมากกว่าเบี้ยที่จ่ายไป มีตัวเลขผลตอบแทนอย่างชัดเจน มีการกำหนดปีที่จะได้รับเงินสดคืน เช่น ประกันชีวิต 15 ปี ได้รับความคุ้มครอง 20 ปี ในแต่ละปีก็จะได้รับผลตอบแทนต่อเนื่องทุกปี ปีละ 2% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย แต่หากเสียชีวิตระหว่าง 20 ปีนี้ ผลตอบแทนก็จะตกไปอยู่กับผู้รับผลประโยชน์แทน เป็นต้น จุดเด่นในเรื่องของการช่วยออมทรัพย์นี้เป็นสิ่งที่คนวัยทำงานมักให้ความสนใจ เพราะเมื่อนำประกันสุขภาพมาเปรียบเทียบกันแล้ว ถือว่าตอบโจทย์ได้ดีกว่า 4.
ประกันสุขภาพของ working women ควรเลือกซื้อประกันแบบไหนดี? ( ประกันสุขภาพของ working women ควรเลือกซื้อประกันแบบไหนดี?
ผู้ป่วยใน (IPD): คุ้มครองกรณีนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล ทั้งนี้หากเลือกการคุ้มครองที่ครอบคลุมค่าห้องสูง ค่าเบี้ยประกันก็จะสูงตาม 2. ผู้ป่วยนอก (OPD): คุ้มครองกรณีทำการรักษาตัวที่โรงพยาบาล แต่ไม่ได้นอนพักรักษาตัว เช่น อุบัติเหตุเล็ก เป็นไข้ ปวดหัว 3. โรคร้ายแรง (ECIR): คุ้มครองกรณีเจ็บป่วยในร้ายแรงที่ต้องรักษาตัวนาน ค่าใช้จ่ายสูง เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคเกี่ยวกับสมอง เป็นต้น 4. ประกันอุบัติเหตุ (PA): คุ้มครองการรักษาอันเนื่องมาจากอุบัติเหตุ ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ ทำให้ทุพพลภาพ สูญเสียอวัยวะ หรือเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ 5.
ประกันบำนาญเหมาะกับคนที่อายุ 30 – 55 ปี หรือคนที่อยากเริ่มต้นวางแผนและสร้างความมั่นคงให้ชีวิต ต้องการผลตอบแทนที่มั่นคง ไม่ชอบใช้เงินไปกับการลงทุนที่มีความเสี่ยง รวมถึง คนที่วางแผนจะใช้ชีวิตโสดไปตลอดชีวิตและ คนที่ไม่อยากเป็นภาระลูกหลานในอนาคต ซื้อประกันบำนาญ ตอนอายุน้อย ได้ผลประโยชน์เยอะกว่าจริงหรือ?